เมี่ยน (เย้า)
- บุรีรัตน์ อุประ
- Jun 26, 2023
- 1 min read
Updated: Jul 8, 2023
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : อิ้วเมี่ยน
ชื่อเรียกตนเอง : เมี่ยน, อิ้วเมี่ยน
ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : เย้า, เมี่ยน
ภาษาที่ใช้พูดและเขียน : ตระกูลภาษาจีน- ธิเบต กลุ่มภาษาแม้ว – เย้า
เมี่ยน (Mien) นักวิชาการด้านชาติพันธุ์ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมี่ยนชี้ให้เห็นว่า คำนี้เป็นคำเรียกชื่อของคนเมี่ยนจำนวน 5 กลุ่ม คือ “อิ้วเมี่ยน” (Iu Mien) กิมเมี่ยน (Kim Mien) เกียมเมี่ยน (Keim Mien) กัมเมี่ยน (Kam Mien) เก็มเมี่ยน (Kem Mien) ใช้เรียกตนเองแบบกลาง ๆ โดยไม่ได้แบ่งแยกความแตกต่างภายในกลุ่มของพวกเขา ขณะเดียวกัน ก็เป็นการบ่งบอกความแตกต่างของตนเองว่าพวกเขานั้นแตกต่างจากคนอีก 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กิมมุน (Kim Mun) บัว มิน (Byau Min) และ ยัวมิน (Yau Min) (Pourret 2002: 1) โดยคำว่า “เมี่ยน” ในภาษาเมี่ยนแล้วแปลว่า “มนุษย์หรือคน”
ชื่อเรียกในเชิงอคติทางชาติพันธุ์
เย้า เป็นชื่อเรียกที่ปรากฏในเอกสารทางราชการในยุคแรก ๆ ก่อนที่จะปรากฏชื่อเมี่ยน หรืออิ้วเมี่ยนตามมาในช่วงหลัง อย่างไรห็ตาม ชื่อเรียก เย้า ไม่เป็นที่พึงใจของชาวเมี่ยนมากนัก เนื่องจากกลุ่มที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยนั้นเป็นกลุ่มย่อยในกลุ่มเย้า และไม่สามารถหมายรวมว่าอิ้วเมี่ยนคือเย้าได้ เนื่องจากเป็นคนละกลุ่มชาติพันธุ์ ถึงแม้จะเป็นกลุ่มวัฒนธรรมเดียวกันก็ตาม อีกประการหนึ่ง คำว่าเย้า ในสมัยราชวงศ์ถังหมายถึง ถูกเกณฑ์แรงงาน ส่วยแรงงาน ชาวเมืองประเทศราช และตัวอักษรที่ใช้เขียนก็มีความหมายว่า ป่าเถื่อน
ประชากร
จังหวัดที่กระจายตัวตั้งถิ่นฐานเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำปาง น่าน ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย เพชรบูรณ์ รวมประมาณ 40000 คน ซึ่งชาวเมี่ยนอาศัยอยู่ในจังหวัดตากน้อยมาก ข้อมูลในปัจจุบันแทบไม่มีข้อมูลที่แสดงถึงการอาศัยอยู่ของชนเผ่านี้ในจังหวัดตากปรากฎมากนัก
ประวัติและที่มา
ชาวอิ้วเมี่ยนเป็นชนกลุ่มน้อยโบราณที่อาจมีอายุเก่าแก่เท่ากับกลุ่มชาวฮั่นหรือชาวจีน โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง (หวงเหอ) ทางตอนเหนือของประเทศจีนเมื่อลงมาทางตอนใต้ของจีน ถูกรุกรานจากภัยทางการเมืองอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะในรอบหนึ่งร้อยปีของราชวงศ์หมิง เมื่อถูกกดดันและถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ชาวอิ้วเมี่ยนส่วนหนึ่งจึงอพยพไปยังมณฑลกุ้วโจวและยูนนาน อีกส่วนหนึ่งได้อพยพไปยังประเทศเวียดนาม ลาว และต่อมายังประเทศไทย หลังการสิ้นสุดของสงครามปลดแอกในประเทศลาวเมื่อปี พ.ศ.2518 ชาวอิ้วเมี่ยนนับหมื่นได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส และบางประเทศในยุโรป
สำหรับดินแดนในล้านนาพบว่า ชาวอิ้วเมี่ยนได้อพยพเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทยในระยะเวลาเดียวกันกับกลุ่มม้ง คือ ประมาณหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมาโดยการเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ในอาณาจักรล้านนาโดยเฉพาะเจ้าผู้ครองนครน่านที่ในระยะต่อมาได้แต่งตั้งนายจั่นควน แซ่เติ๋น ที่อยู่ดอยผาช้างน้อย เป็นพญาคีรีศรีสมบัติ ทำหน้าที่ปกครองชาวอิ้วเมี่ยนและกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูงอื่น ๆ ในพื้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดน่านกับจังหวัดพะเยาในปัจจุบัน
วิถีชีวิตและวัฒนธรรม
การเกษตรแบบยังชีพ คือ การเกษตรแบบดั้งเดิมของชาวอิ้วเมี่ยน เป็นการปลูกพืชเพื่อสนองความต้องการของสมาชิกภายในชุมชนเท่านั้น เนื่องจากชุมชนตั้งอยู่กระจัดกระจายห่างจากเส้นทางคมนาคม ผลผลิตต่าง ๆ ที่ผลิตได้ภายในชุมชนมีการใช้หรือแลกเปลี่ยนกันภายในชุมชนเท่านั้น ชาวอิ้วเมี่ยนในแต่ละครอบครัวจะมีไร่เป็นของตนเอง โดยทำการเกษตรแบบตัดฟันโค่นเผาเพื่อปลูกพืชเพื่อไว้บริโภค โดยเฉพาะข้าวไร่ซึ่งปลูกไว้สำหรับบริโภคภายในครอบครัวเท่านั้น หากเหลือจึงนำไปขาย เมื่อชาวอิ้วเมี่ยนได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเมื่อ 200 ปีก่อนและได้รับวัฒนธรรมการปลูกฝิ่น นับตั้งแต่นั้นมา ฝิ่นกลายเป็นพืชเศรษฐกิจหลักชนิดเดียวที่ทำรายได้ให้กับครอบครัว โดยชาวอิ้วเมี่ยนนิยมปลูกฝิ่นในไร่ข้าว ซึ่งฝิ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีและเป็นพืชที่ไม่ทำให้ดินเสื่อมเร็ว จึงสามารถปลูกได้หลายปีติดต่อกัน นับตั้งแต่นั้นมา ระบบการผลิตของชาวอิ้วเมี่ยนจึงเปลี่ยนไปเป็นระบบการเกษตรแบบกึ่งยังชีพ นอกจากการเพาะปลูกแล้ว ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีการเลี้ยงสัตว์อีกด้วย แต่จุดประสงค์หลักในการเลี้ยงสัตว์ คือ เพื่อทำพิธีกรรม แล้วหลังจากพิธีกรรมจึงรับประทานได้ สัตว์ที่ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมเลี้ยง คือ หมู ไก่ ในบางทีอาจพบม้าด้วย ซึ่งเอาไว้ต่างสัมภาระเวลาเดินทาง
ศาสนาและความเชื่อ
ความเชื่อของชาวอิ้วเมี่ยนเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อเรื่องเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติกับบรรพบุรุษ และความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า โดยมีความเชื่อว่า ความมั่นคงและความปลอดภัยของมนุษย์ ทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่และเมื่อตายไปแล้วล้วนขึ้นอยู่กับเทพเจ้า มนุษย์อยู่ในความคุ้มครองของเทพเจ้า และต้องไม่กระทำการใด ๆ ที่ขัดแย้งกับอำนาจของเทพเจ้า แต่ถ้าได้กระทำการใด ๆ ขัดแย้งไปก็สามารถประกอบพิธีกรรมเพื่อแก้ไขได้ ซึ่งการติดต่อกับเทพเจ้าผ่านการประกอบพิธีกรรม เป็นความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า นอกจากนี้ ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีความเชื่อว่า ทุกสิ่งรอบตัวมีวิญญาณสิงสถิตอารักขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ แม่น้ำลำธาร แต่วิญญาณเหล่านี้มีทั้งวิญญาณที่ดีและไม่ดี สามารถบันดาลทั้งคุณและโทษต่อชีวิตของมนุษย์ได้ จึงต้องทำพิธีกรรมบูชาหรือขอขมาต่อวิญญาณเหล่านี้เช่นเดียวกัน
ประเพณีและเทศกาล
ประเพณีเจี๋ยเจียบเฝย หรือ เชียดหาเจียบเฝย (วันสาร์ทจีน) ตรงกับวันที่ 14 – 15 เดือน 7 ของจีน โดยวัน “เชียดหาเจียบเฝย” ของอิ้วเมี่ยนจะมี 2 วัน คือ วันที่ 14 หรือเรียกว่า "เจียบเฝย" และวันที่ 15 เรียกว่า "เจียบหือ" ก่อนถึงเชียดหาเจียบเฝย 1 วัน คือวันที่ 13 หรือที่เรียกกันว่า "เจียบฟาม" ชาวบ้านจะเตรียมของใช้สำหรับทำพิธี เช่น กระดาษเงิน กระดาษทอง และหาฟืนมามาเก็บไว้มากๆ เพราะว่าในวันทำพิธีนี้ห้ามไปทำไร่ และเก็บฟืน ส่วนคนที่ไปนอนค้างคืนไนไร่ก็จะทยอยกันเดินทางกลับบ้านในวันนี้ นอกจากนี้ยังทำขนมที่เรียกกันว่า "เจียบเฝยยั้ว" วันที่ 14 หรือ เจียบเฝย เชื่อกันว่าเป็นวันของคน ชาวบ้านจะไม่ไปไร่เข้าป่าล่าสัตว์ ไม่ทำงานใดๆ วันนี้จะมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ เพราะเป็นที่เทพเจ้า เทพธิดา วิญญาณบรรพบุรุษเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ มีการทำบุญกันทุกบ้านเรือน มีการขออภัยโทษแก่ดวงวิญญาณต่างๆ ให้เป็นอิสระ ลูกหลานจะต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เผากระดาษเงิน กระดาษทองส่งไปให้วิญญาณบรรพบุรุษได้ใช้จ่าย วันที่ 15 วิญญาณบรรพบุรุษจะได้คุ้มครองดูแลลูกหลาน
วันที่ 15 หรือ "เชียดหาเจียบหือ" หรือเรียกอีกอย่างว่า "เมี้ยน ป้าย เหย" เชื่อกันว่าเป็นวันของผีจะมีการปลดปล่อยผีทุกตัวตน เพื่อให้มารับประทานอาหารที่ผู้คนทำพิธีให้ วันนี้ชาวบ้านจะอยู่กับบ้านไม่ให้ออกไปไหน ห้ามคนเข้าออกหมู่บ้าน ห้ามเด็ดใบไม้ใบตองทั้งสิ้น เพราะเชื่อว่าวิญญาณจะใช้ใบไม้ใบตองเหล่านี้ห่อของกลับไปเมืองวิญญาณ จะมีการพูดว่าใบไม้ 1 ใบ เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ 1 ตัว เมี่ยนจึงไม่เก็บใบไม้ต่างๆ ในวันนี้ เมี่ยนจะทำพิธีเจี๋ยเจียบเฝยอย่างนี้เป็นประจำทุกปี เพื่อให้ดวงวิญญาณได้มารับอาหารไปกินใช้ในแต่ละปี และให้ดวงวิญญาณมาช่วยคุ้มครองครอบครัว ตลอดกระทั้งหมู่บ้านของชาวเมี่ยน
การแต่งกาย
ใช้ผ้าปักและตัดเป็นเสื้อ โดยทั่วไปผู้หญิงชาวเมี่ยนจะต้องฝึกปักเทคนิคพื้นฐานที่เรียกว่า หยิ่ว หมายถึงการปักเป็นเส้นตรง เมื่อเริ่มเชี่ยวชาญแล้วจะเริ่มสรางสรรค์ลวดลายลงบนผ้า โดยเทคนิคที่นิยมใช้กันมากคือเทคนิคที่เรียกว่า โฉ่งทิว คือการปักทีละเส้นให้เป็นลายกากบาทเล็กประกอบเป็นลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายย่านเปี้ยง(ดอกไม้เงิน) ลายซม(คน) ลายหล่มเจว(ตีนแมว) ลายก้อนยอ(แมงมุม) เป็นต้น










Comments