ลาหู่ (มูเซอ)
- บุรีรัตน์ อุประ
- Jul 3, 2023
- 1 min read
Updated: Aug 13, 2023
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ : ลาหู่
ชื่อเรียกตนเอง : ลาหู่, ลาฮู, ลาหู่นะ, ลาหู่นาเมี้ยว, ลาหู่ซิมี
ชื่อที่ผู้อื่นเรียก : มูเซอ, โลไฮ, ลาหู่, ลาหู่แดง, ลาหู่ดำ, ลาหู่เซเล
ภาษาที่ใช้พูดและเขียน : ภาษาลาหู่อยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) สาขาทิเบต-พม่า กลุ่มภาษาโลโลดั้งเดิม (Proto-Lolo) และแตกสาขาย่อยลงมาในกลุ่มพม่า-โลโล สาขาโลโลกลาง (Central Lolo) ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับภาษาลีซู และภาษาอาข่า
“ลาหู่” เป็นชื่อที่คนในกลุ่มชาติพันธุ์ใช้เรียกตนเอง แปลว่า คน บางพื้นที่อาจเรียกว่า ลาฮู ลาฟู ฯลฯ ส่วนชื่อที่คนกลุ่มอื่นมักใช้เรียกคือ เมอเซอ มูเซ มกโซ หลอเหย ล่อเฮ ข่าเลาะ ฯลฯ ชาวไทใหญ่ในรัฐฉานเรียกว่า “มูเซอ” แปลว่า พรานป่า สันนิษฐานว่าเป็นคำภาษาไทใหญ่ที่ยืมมาจากภาษาพม่า เนื่องจากชาวพม่ามักออกเสียงเรียกนายพรานว่า มกโซ หรือ มูเซ คนไทใหญ่ที่เรียกชนกลุ่มนี้ตามคนพม่าจะออกเสียงว่า มูเซอ ใกล้เคียงกับชาวโลโลในมณฑลยูนนานที่เรียก มูซู หรือ มุสซู และคนไาทยในภาคเหนือรู้จักชนกลุ่มนี้ในชื่อ มูเซอ เช่นกัน
ประชากร
จังหวัดที่กระจายตัวตั้งถิ่นฐานของล่าหู่ ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำปาง พะเยา น่าน ตาก เพชรบูรณ์ จำนวนประชากรรวม 80,000 คน จำนวนประชากรล่าหู่ในจังหวัดตากจำนวน 7,378 คน
ประวัติและที่มา
ชาวลาหู่มีเชื้อสายมาจากชาวโลโล แต่เดิมตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่บริเวณที่ราบสูงทิเบต-ชิงไห่ ต่อมาคนไทใหญ่และจีนได้เข้าครอบครองพื้นที ชาวลาหู่จึงอพยพลงมาทางมณฑลยูนนานบริเวณแม่น้ำสาละวินกับแม่น้ำโขง อาศัยกระจายตัวอยู่ในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น จีน เมียนมาร์ ไทย ลาว เวียดนาม รวมทั้งอพยพไปยังประเทศที่สาม เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ สถานภาพของชาวลาหู่ในแต่ละพื้นที่จึงแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ ประเทศจีนมีประชากรจำนวนมากอยู่ในเขตปกครองตนเองหลานชาง มีบทบาทและอำนาจหน้าที่ในการจัดการตนเองภายใต้กำกับของรัฐ ในขณะที่ชาวลาหู่ทั้งในประเทศไทย เมียนมาร์ สปป.ลาว และเวียดนาม มีสถานะเป็นเพียงกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อยในประเทศนั้นๆ เท่านั้น ทั้งนี้ในประเทศไทยพบกลุ่มลาหู่ที่ใหญ่ที่สุด คือ ลาหู่แดง ตั้งถิ่นฐานบริเวณชายแดนจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร ลำปาง น่าน และ เพชรบูรณ์ จำนวน 800 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่มักอาศัยปะปนกับชาติพันธุ์อื่น
เมื่อราว พ.ศ. 2487 ชาวลาหู่เชเลกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณดอยช้าง อ.เวียงปาเป้า จ.เชียงราย และ อ.ออมก๋อย จ.เชียงใหม่ ได้อพยพมาเข้าในเขต จ.ตาก ตามคำบอกเล่าถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่เพื่อหาทำเลปลูกฝิ่น จนที่สุดชาวลาหู่รวมตัวกัน ตั้งรกรากสร้างหมู่บ้านบริเวณ อ.พบพระ และ อ.แม่สอด มี 4 กลุ่ม คือ กลุ่มบ้านวะดิดิคะ บ้านเอะคอติคะ บ้านดอยแผนที่ และบ้านปะคาติคะ หรือบ้านอูมยอม เป็นชุมชนลาหู่บนดอยมูเซอแห่งแรก ซึ่งเดิมเป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงที่ได้อพยพย้ายออกไปเนื่องจากเกิดโรคระบาด
ต่อมาในปี พ.ศ.2503 ตรงเขตแบ่งเส้นถนนตาก-แม่สอด ทางซ้ายมือของฝั่งถนนทางไปอำเภอแม่สอดมีศูนย์ทดลองพืชสวนดอยมูเซอและศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก
เข้ามาจัดตั้งทับซ้อนพื้นที่หมู่บ้านและพื้นที่ทำกินของชุมชนชาติพันธุ์ โดยเฉพาะบ้านอุมยอมของชาวลาหู่ บ้านม้ง และบ้านลีซอ ทำให้ชาวบ้านหลายกลุ่มเลือกที่จะขยับเข้าไปตั้งหมู่บ้านในอีกฝั่งของถนน
ตามบริบททางประวัติศาสตร์ชาวลาหู่บนดอยมูเซอ ได้อพยพมาตั้งรกรากและทำมาหากินบนดอยมูเซอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 เดิมบนดอยมูเซอเป็นที่ตั้งของ 3 หมู่บ้านชาติพันธุ์หลัก ได้แก่ บ้านอุมยอม บ้านลีซอและบ้านม้ง ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของอำเภอเมืองตาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 ได้เปลี่ยนมาอยู่ในพื้นที่ของศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก และสถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ การใช้พื้นที่หมู่บ้านและพื้นที่ทำการเกษตรจึงถูกกำหนดอย่างชัดเจน กระทั่งช่วงปี พ.ศ. 2517-2519 เกิดการแตกตัวของหมู่บ้านอุมยอมออกไปเป็น 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านส้มป่อย บ้านห้วยปลาหลด และบ้านใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช ทำให้ 2 หมู่บ้าน คือหมู่บ้านห้วยปลาหลด และหมู่บ้านใหม่ เปลี่ยนมาอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช โดยพื้นที่ของเขตอุทยานครอบคลุมพื้นที่ตั้งของหมู่บ้าน
วิถีชีวิตและวัฒนธรรม
การผลิตอาหาร
ป่าเป็นแหล่งอาหารของชาวลาหู่ ชาวลาหู่ยังชีพด้วยการหาอาหารตามธรรมชาติ เช่น รถด่วนนำไปตำน้ำพริก นำไปคั่วแห้ง นอกจากนี้ยังหาปลาในแม่น้ำลำคลองด้วยวิธีการแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน
วิถีชีวิตการยังชีพ
ชาวลาหู่มีทั้งที่อาศัยอยู่บนภูเขาและบนพื้นราบ การยังชีพของชาวลาหู่ 2 กลุ่มนี้ก็จะแตกต่างกัน ดังนี้
พื้นฐานของชาวลาหู่ที่อยู่บนภูเขาสูงนั้น ยังชีพด้วยการทำการเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะการทำไร่ ทำสวน ทำนา และการเลี้ยงสัตว์ สำหรับการทำไร่ ทำสวน ทำนานั้น ชาวลาหู่จะเลือกพื้นที่ที่จะเพาะปลูกพืชผลโดยต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ 6 ประการ คือ พืชพันธุ์ต่าง ๆ ลักษณะดิน ปริมาณและลักษณะของหิน ระดับความสูง ลักษณะภูมิประเทศทั่วไป และแหล่งน้ำในไร่
ส่วนหมู่บ้านที่อยู่พื้นที่ราบมีชาวบ้านหลายรายที่ประกอบอาชีพค้าขาย เป็นพ่อค้า คนกลาง รับซื้อผลิตผลทางการเกษตรจากภายในหมู่บ้านต่าง ๆ แล้วนำไปขายต่อให้กับพ่อค้าในเมือง โรงงาน และโรงสี รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายข้าว ข้าวโพด และมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ
การแต่งกายของลาหู่
ผู้หญิง ชาวลาหู่นะสวมเสื้อแขนยาวสีดำกับผ้าถุงที่เย็บติดกันยาวถึงหน้าแข้ง ตรงแขนเสื้อจะขลิบด้วยผ้าขาวไว้ 3 ขลิบ มีเครื่องประดับต่างหู ห่วงคอและห่วงแขนทำด้วยโลหะเงิน ไม่ใช้เข็มขัด หญิงลาหู่ดำนิยมโพกผ้าดำหากไม่โพกผ้าจะมีลักษณะทรงผมกล้อนผมตั้งแต่หน้าผากขึ้น จนผมอยู่กลางศีรษะ
ผู้ชาย สวมเสื้อค่อนข้างหลวม ยาวถึงเอว สวมเสื้อสีดำแขนยาวทรงกระบอก ผ่าหน้าตลอดพร้อมติดกระดุมโลหะเงิน ขลิบขอบแขนเสื้อด้วยผ้าสีแดง แต่ไม่นิยมสวมเครื่องประดับ ส่วนกางเกงนั้น ผู้ชายลาหู่ดำจะสวมกางเกงขายาวหลวม ๆ ด้วยผ้าสีดำขลิบปลายขาด้วยผ้าสีแดง ผ้าคาดเอวไม่คาดทับบนเสื้อแต่คาดทับกางเกง แล้วผูกไว้ข้างหน้าทิ้งชายห้อง 2 ชาย นอกจากนี้ก็มีผ้าพันแข้ง บางคนก็ชอบพัน บางคนก็ไม่พัน ลักษณะผ้าพันแข้งเป็นสีดำขลิบตรงริมด้ายแถบผ้าสีนวลหรือสีขาว บางคนใช้ผ้าโพกศีรษะ บางคนไม่ใช้ผ้าโพกศีรษะ พวกนี้ใช้ผ้าโพกศีรษะ ผ้าโพกส่วนใหญ่เป็นสีดำผืนใหญ่ยาว ใช้พันแบบแบน ๆ รวบผมจุกซึ่งพวกมูเซอดำชอบโพนผมเป็นจุกอยู่กลางศีรษะ
ศาสนา/ความเชื่อ
ชาวลาหู่ประมาณสองในสามของประชากรทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยยังคงนับถือศาสนาดั้งเดิมหรือนับถือบรรพบุรุษ ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ กลุ่มที่นับถือศาสนาดั้งเดิมเรียกตนเองว่า “แป๊ตู๊ป่า” กลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์จะเรียกตนเองว่า “บูย้า” ชาวลาหู่ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะเรียกกลุ่มตนเองว่า “เย่ซู” หรือ “เยซู” โดยชาวลาหู่พยายามปรับพิธีกรรมดั้งเดิมให้สอดคล้องสัมพันธ์กับศาสนาคริสต์ทั้งหมด
แม้ว่าหลายชุมชนจะมีการปรับเปลี่ยนวิถีความเชื่อและการใช้ชีวิตไปจากวิถีประเพณีเดิมเป็นแบบสมัยใหม่มากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังพบว่ารากฐานความคิดความเชื่อตามประเพณีเดิมก็ยังคงดำรงอยู่ ชุมชนของชาวลาหู่มีข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติที่สำคัญๆดังนี้
1. ก่อนเข้าหมู่บ้านอาจพบท่อนไม้หรือเสาไม้ที่มีเชือกผูกโยงไว้อยู่ริมทางเดินมีลักษณะที่ผ่านการประกอบพิธีไปแล้ว ไม่ควรเหยียบย่ำทำลาย
2. ในบริเวณวัดมูเซอ หรือ หอแหย่ สิ่งของที่อยู่ข้างในจะเป็นเครื่องเซ่นเทพเจ้า ห้ามแตะต้อง
3. ห้ามบุกรุกเข้าไปในศาลผีประจำหมู่บ้าน
4. ห้ามยิงปืนในหมู่บ้าน เพราะเป็นการนำความตายมาสู่ชุมชน
5. การปลูกบ้านจะไม่ให้จั่วหลังคาบ้านตรงกันอันจะเป็นสาเหตุให้สมาชิกในบ้านเจ็บป่วยได้ ฉ. ชาวล่าหู่จะไม่ให้วัวหรือม้าขึ้นบ้านเรือนหรือไก่ขึ้นไปไข่บนหลังคาบ้าน หรือมิให้สัตว์ป่าหรืองูเข้าในบ้าน เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้าของบ้านต้องสร้างบ้านใหม่
6. ห้ามมิให้ขึ้นบ้านผู้อื่นตามลำพัง และไม่ควรจับต้องหิ้งผีหรือห้องผีที่เป็นที่สักการะ
7. ห้ามจับต้อง “หน่อกู่มา” ที่วางหน้าห้องผี ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีสำคัญที่ใช้ประกอบพิธีกรรม เพราะชาวลาหู่เชื่อว่าเสียงของแคนนั้นสามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้
8. ห้ามเหยียบย่ำทำลายเตาไฟ หรือแคร่เหนือเตาไฟ ซึ่งมีความผูกพันกับทุกชีวิตในครัวเรือน
9. ห้ามคู่หนุ่มสาวขึ้นไปนอนเล่นตามลำพังในบ้าน ห้ามทะเลาะในบ้านของผู้อื่น และห้ามเต้นรำบนบ้านของผู้อื่น
10. อย่าแตะต้องเครื่องป้องกันผีที่ติดไว้หน้าประตู และถ้ามีเฉลวติดอยู่ที่เชิงบันไดก็ไม่ควรเข้าไปในบ้าน
ประเพณี/เทศกาลสำคัญ
พิธีฉลองปีใหม่ หรือที่เรียกว่า “เขาะเจ๊าเว” หมายถึง “ปีใหม่การกินวอ” ในแต่ละปีจะมี 1 ครั้ง เป็นช่วงที่เสร็จสิ้นภารกิจการทำงาน ทำไร่ ทำสวน หรือเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้ว เมื่อถึงช่วงฉลองปีใหม่ สมาชิกของหมู่บ้านที่ไปทำงานอยู่ที่ต่าง ๆ จะเดินทางกลับมาร่วมงาน มีการฆ่าหมูดำ เพื่อนำเนื้อหมู และหัวหมูสังเวยต่อเทพเจ้ากื่อซา ต่อจากนั้นก็จะนำเนื้อหมูมาปรุงเป็นอาหารเลี้ยงกันอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ชาวลาหู่จะนำข้าวเหนียวนึ่งมาตำคลุกงา หรือนวดกับงา แล้วปั้นเป็นก้อนกลม จากนั้นนำไปปิ้ง แล้วโรยด้วยน้ำอ้อย เรียกว่า “อ่อผุ” หรือข้าวปุก เพื่อนำไปถวายต่อเทพเจ้ากื่อซา
พิธีกินข้าวใหม่ หรือที่เรียกว่า “จาสือ จ่าเลอ” เป็นพิธีที่มีความสำคัญเช่นเดียวกันกับวันขึ้นปีใหม่ พิธีนี้เป็นการนำผลผลิตทางการเกษตร อาทิ ข้าวและผลผลิตอื่น ๆ ในไร่ โดยชาวลาหู่เชื่อว่าผลผลิตข้าวได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเทพเจ้า ดังนั้นจึงต้องมีพิธีกินข้าวใหม่เพื่อบวงสรวงต่อเทพเจ้าโดยตรง เป็นการขออนุญาตเกี่ยวข้าวมาบริโภค พิธีนี้จะมีขึ้นในช่วงเดือนกันยายน ช่วงเวลาประกอบพิธีมี 4 วัน คือ ประกอบพิธี 1 วัน รดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ 1 วัน พักผ่อน 2 วัน
พิธีทำบุญเรียกขวัญ หรือที่เรียกว่า “บูตีเว จู่จือเลอ” เป็นพิธีทำบุญโดยการสร้างสะพานเล็กบริเวณริมทางเดินเข้า – ออกหมู่บ้าน โดยมีหมอพิธีเป็นผู้ทำพิธี ในงานนี้ต้องฆ่าหมูเพื่อเซ่นผีเรือน ผูกข้อมือ สวดอวยพร และเต้นรำบวงสรวงเทพเจ้า เพื่อขอให้สมาชิกในหมู่บ้านอยู่ดีกินดีปราศจากโรคร้าย พิธีดังกล่าวนี้จะกำหนดวันดี มงคล สำหรับการทำพิธี
พิธีวันศีล วันศีลของชาวลาหู่จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 15 ค่ำ แต่วันศีลในช่วงปีใหม่จะตรงวันที่สามของปีใหม่ ซึ่งในวันศีล ชาวลาหู่ต้องงดบริโภคเนื้อสัตว์ งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา นอกจากนี้ ชาวลาหู่ยังเชื่อว่าเป็นวันพักผ่อน ในตอนเย็นของวันศีลจะมีพิธีรดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ แล้วโตโบจะกล่าวอวยพรสมาชิกในชุมชนทุก ๆ คน ในช่วงค่ำคืน จะมีการประกอบพิธีในหอแหย่ (โบสถ์) แล้วเต้นรำตีกลองและเป่าแคนกันอย่างสนุกสนานต่อหน้าต้นวอ
พิธีเกี่ยวกับการเกิด การคลอดบุตรของชาวลาหู่ มารดาของหญิงตั้งครรภ์จะเป็นผู้ทำคลอด ไม่มีหมอตำแย มีการผูกด้ายที่ข้อมือและรอบคอเด็ก ป้องกันปิศาจร้ายรบกวน วิธีปฏิบัติเมื่อมีเด็กเกิดในบ้าน การคลอดลูกนั้นต้องใช้ผ้าหรือเชือกผูกกับขื่อบ้านเพื่อให้แม่เด็กจับ และมีแรงในการเบ่งออกลูก เมื่อเด็กเกิดมาต้องตัดสายสะดือเด็กด้วยไม้ไผ่หรือไม้เฮียะ จะไม่ใช้มีดตัดเพราะกลัวเด็กจะเป็นบาดทะยัก จากนั้นก็ใช้เชือกผูกสายสะดือเด็กเอาไว้เพื่อไม่ให้เลือดไหลออกมา แล้วพ่อเด็กจึงนำรกไปฝังไว้ใต้บันได โดยพยายามให้เรียบร้อยที่สุดมิให้สัตว์มาคุ้ยและต้องฆ่าไก่ดำให้แม่เด็กกิน เพราะเชื่อว่าจะทำให้น้ำนมแม่มีคุณค่ามากขึ้น
พิธีแต่งงาน ประเพณีการแต่งงานของลาหู่ ไม่ทำกันอย่างใหญ่โต เมื่อชายหญิงรักใคร่ชอบพอกัน จะไปแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบ หลังจากนั้นก็จะจัดการฆ่าหมูและไก่ เพื่อทำบุญเซ่นผีเรือนโดยให้ปู่จองเป็นผู้ประกอบพิธี เลี้ยงดูบรรดาผู้เฒ่าบิดามารดาทั้ง 2 ฝ่าย ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งเคียงกัน ปู่จองเอาเส้นด้ายผูกข้อมืออวยพรเป็นอันเสร็จพิธี ในวันนั้นเจ้าสาวไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ประดับประดาอาภรณ์แต่อย่างใด หลังจากนั้นฝ่ายชายต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงทำงานรับใช้พ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นเวลา 1-3 ปีแล้วจึงแยกไปตั้งบ้านเรือนต่างหาก
การหย่าร้าง การหย่าร้างเป็นเรื่องธรรมดาของชาวลาหู่และชนกลุ่มอื่น ๆ เช่น หากพ่อแม่ผู้หญิงรู้สึกว่าลูกเขยพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็อาจจะบังคับให้ลูกสาวหย่าร้าง และให้ลูกสาวไปอยู่ที่อื่น กรณีอย่างนี้ถ้ามีสิ่งของมากเท่าไรก็จะต้องให้ทางฝ่ายผู้ชาย ส่วนผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เพราะทางฝ่ายผู้หญิงเลิกเอง ถ้ากรณีนี้มีลูก ทั้งสองฝ่ายยินยอมจะหย่ากันแล้ว สิ่งของก็จะต้องแบ่งเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนหนึ่งเพื่อลูก อีกสองส่วนเพื่อสามีและภรรยา จากนั้นต่างคนต่างไป ส่วนลูกใครจะดูแลก็ได้
การตาย เมื่อมีคนตายในบ้าน ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านจะต้องนำข้าวสาร 1 ถ้วย และเทียนไข 1 เล่มไปให้ญาติผู้เสียชีวิต ญาติผู้เสียชีวิตต้องฆ่าไก่ 1 ตัว เพื่อทำพิธี โดยเอาปีกไก่และขาไก่เสียบไม้ และนำไปวางไว้ข้าง ๆ ศพ เชื่อกันว่าปีกไก่จะทำให้วิญญาณนั้นขึ้นไปสู่สวรรค์ ส่วนขาไก่จะทำให้วิญญาณนั้นหาอาหารกินได้ และต้องมีไม้กวาดจำลอง 3 มัดที่ทำจากหญ้าคานำไปวางตรงหัว เอว และตรงเท้าของศพ ตำแหน่งละมัดเพื่อไม่ให้ศพฟื้นขึ้นมา เพราะเชื่อกันว่าถ้าคนตายอยู่ในช่วงเกิดจันทรุปราคา ศพจะฟื้นคืนชีพจึงต้องมีไม้กวาดไว้สำหรับตีศพ










Comments